obj
obj

คอลัมน์บอล

TOP 50 นักฟุตบอลที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลก (อันดับที่ 31-40)

TOP 50 นักฟุตบอลที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลก (อันดับที่ 31-40)



อันดับที่ 40: โยฮัน นีสเก้นส์ (Johan Neeskens)



จุดพีค: 1971-1978

ความสำเร็จโดดเด่น: แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัย, แชมป์ลาลีกา 1 สมัย, รองแชมป์โลก (1974, 1978), บัลลงดอร์ ดรีมทีม (Bronze)


โยฮัน นีสเก้นส์ เป็นอดีตกองกลางคนสำคัญของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ชุดรองแชมป์ฟุตบอลโลก 1974 และ 1978 รวมถึงอันดับที่ 3 ศึก ยูโร 1976 และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดตลอดกาลของทัพ ‘กังหันลม’ เนเธอร์แลนด์ เคียงข้าง ‘นักเตะเทวดา’ โยฮัน ครัฟฟ์


ในปี 2004 เขาถูกเสนอชื่อให้เป็น 1 ใน 125 ผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของ ฟีฟ่า และในปี 2017 นิตยสาร โฟร์โฟร์ทู จัดให้อยู่ในรายชื่อ 100 นักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล เขาคือผู้ช่วยให้ อาแจ็กซ์ ประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ถึง 3 สมัยติดต่อกัน การถูกคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในขุนพลของ ‘ท่านนายพล’ ไรนุส มิเชลส์ ต้นตำรับกุนซือ โททัล ฟุตบอล บ่งบอกถึงคุณภาพของห้องเครื่องรายนี้ได้เป็นอย่างดี


อันดับที่ 39: คาร์ลอส อัลแบร์โต (Carlos Alberto)



จุดพีค: 1966-1970

ความสำเร็จโดดเด่น: แชมป์โลก (1970), หอเกียรติยศฟุตบอลแห่งชาติ (2003), บัลลงดอร์ ดรีมทีม (Silver)


ยอดตำนานของกัปตันทีมชาติบราซิล คาร์ลอส อัลแบร์โต ได้รับการจารึกชื่ออย่างยิ่งใหญ่จากลูกยิงสุดสวยใน World Cup ปี 1970 เกมที่เจอกับ อิตาลี ก่อนชนะไป 4-1 ส่งให้ตัวเขาและเพื่อนร่วมชาติคนอื่น ๆ รวมถึง เปเล่ ได้ชูถ้วยแชมป์โลกสมัยที่ 3 สำเร็จ และถูกยกย่องให้เป็นกัปตันทีมที่ดีที่สุดของทัพ ‘แซมบ้า’ จนได้รับฉายาว่า ‘O Capitão do Tri’ หรือ “ยอดกัปตันคนที่ 3” นอกจากนี้ยังมีผลงานยอดเยี่ยมสมัยค้าแข้งกับต้นสังกัด ซานโตส โดยลงสนามไปทั้งหมด 445 นัด ทำได้ 40 ประตู ในช่วงปี 1966-1974


อัลแบร์โต เป็นแบ็คจอมบุก ซึ่งมีเทคนิคอันสุดยอดหาตัวจับได้ยากในยุคนั้น และยังมีความแข็งแรงที่เป็นเลิศ บวกกับความขยันหมั่นเพียรที่หาใครเทียมได้ ทำให้เขามีทุกองค์ประกอบที่สุดยอดนักเตะทุกคนควรจะมี และสิ่งหนึ่งที่เขามีเหนือชั้นไปยิ่งใครคือ ความเป็นผู้นำทั้งในสนามและห้องแต่งตัว


อันดับที่ 38: จานลุยจิ บุฟฟอน (Gianluigi Buffon)




จุดพีค: 2002-2006 

ความสำเร็จโดดเด่น: แชมป์โลก (2006), แชมป์เซเรียอา 10 สมัย, รางวัลถุงมือทองคำ 12 สมัย, ทีมยอดเยี่ยมของยูฟ่า 5 สมัย, รางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของฟีฟ่า 1 สมัย, บัลลงดอร์ ดรีมทีม (Silver)


จานลุยจิ บุฟฟอน ถือเป็นตำนานผู้รักษาประตูแห่งยุคเลยก็ว่าได้ สถิติที่เขาทำนั้นยากเกินกว่าใครจะมาทำลาย ลงสนาม​ใน เซเรียอา ไปทั้งหมด 657 เกม​ในลีกสูงสุด​ และเก็บคลีนชีตนานที่สุด 974 นาที รวมทั้งไม่เสียประตูสูงสุดถึง 501 เกม ซึ่งตลอด 28 ปี บนเส้นทางค้าแข้ง ไม่มีใครปฏิเสธว่า บุฟฟอน เป็นหนึ่งในยอดผู้รักษาประตู​ตลอดกาลของโลกลูกหนัง


เจ้าตัวเป็นมือหนึ่งของทีมชาติอิตาลีมาอย่างยาวนาน ถ้าเขาไม่เจ็บก็อย่าหวังว่า จะมีใครมาเบียดแย่งตำแหน่งได้เลย ซึ่งจุดเด่นคือ การอ่านเกม ยืนตำแหน่ง ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด และอีกสิ่งที่ผู้รักษาประตูยุคใหม่เทียบไม่ได้เลยคือ ความคงเส้นคงวาตลอดเกือบ 3 ทศวรรษ


อันดับที่ 37: เธียร์รี อองรี (Thierry Henry)



จุดพีค: 2003-2009

ความสำเร็จโดดเด่น: แชมป์โลก (1998), แชมป์ยูโร (2000),  แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย, แชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย, แชมป์ลาลีกา 2 สมัย, แชมป์ฝรั่งเศส ดิวิชั่นหนึ่ง 1 สมัย, รางวัลดาวยิงสูงสุด & รองเท้าทองคำ 8 รายการ, นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของฝรั่งเศส 5 สมัย, บัลลงดอร์ ดรีมทีม (Bronze)


เธียร์รี่ อองรี เริ่มเล่นในตำแหน่งปีกซ้ายตอนที่อยู่ โมนาโก ที่มี อาร์แซน เวนเกอร์ เป็นกุนซือยู่ในตอนนั้น จน ยูเวนตุส ได้ดึงตัวไปร่วมทัพ แต่ก็ไม่ได้ฉายแววอะไรโดดเด่นขึ้นมา และในตอนนั้นเอง เขาก็ได้วนกลับมาร่วมงานกับ เวนเกอร์ อีกครั้ง แต่ไม่ใช่ที่ โมนาโก แต่เป็น อาร์เซน่อล ที่เขาสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นกองหน้าระดับตำนานของ พรีเมียร์ลีก จนถึงปัจจุบันนี้

ถ้าพูดถึง เธียร์รี อองรี ภาพและสไตล์การยิงประตูของเขาจะเข้ามาในหัวเราทันทีโดยอัตโนมัติ มันเหมือนจะเป็นท่าไม้ตายที่เราเห็นกันโดยประจำ ได้บอลเยื้อง ๆ ในกรอบเขตโทษ เอียงตัวเล็กน้อย ก่อนปั่นด้วยเท้าขวาเสียบเสาไกลเข้าประตูไป จัดเป็นหนึ่งในลายเซ็นของหัวหอกระดับตำนานของวงการลูกหนัง ‘ตราไก่’

อันดับที่ 36: ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ (Hristo Stoichkov)



จุดพีค: 1990-1995

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (1994), แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1 สมัย, แชมป์ลาลีกา 4 สมัย,  World Player of the Year อันดับ 2 (1992, 1994), ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของ บัลแกเรีย 5 สมัย, 


ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ ผู้พลิกประวัติศาสตร์มากมายให้กับทีมชาติบัลแกเรีย และเป็นหนึ่งในตำนานของสุดยอดสโมสรอย่าง บาร์เซโลน่า เป็นผู้เล่นสำคัญมากที่สุดที่เขี่ยทีมชาติอาร์เจนติน่า ตกรอบแรก และเขี่ยทีมชาติเยอรมนี ตกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1994 และทำผลงานคว้าอันดับ 4 มาครอง และเป็นดาวซัลโวในรายการนี้ จนได้รับความเคารพจากชาติด้วยเองว่าเป็น ‘พระเจ้าแห่งบัลแกเรีย’

เจ้าตัวเล่นได้ตั้งแต่ตำแหน่ง เพลย์เมกเกอร์, กองหน้าตัวต่ำ และกองกลางตัวรุก มีสไตล์ที่หลากหลาย มีทักษะมากมายครบครัน ผ่านบอลทะลุช่องได้ดี ยิงคมและแรง มีลูกฟรีคิก และลูกจุดโทษที่ยอดเยี่ยม ซึ่งจุดเด่นที่สุดคือ การเสี้ยงบอลที่คล่องแคล่ว พาบอลไปอย่างรวดเร็ว โดยเขาประสบความสำเร็จมากที่สุดตอนอยู่กับ ซีเอสเคเอ โซเฟีย, บาร์เซโลน่า และได้ยุติการค้าแข้งกับ สโมสร ดีซี ยูไนเต็ด ของ สหรัฐอเมริกา


อันดับที่ 35: ลูก้า โมดริช (Luka Modrić)


luka-modric - Il Foglio


จุดพีค: 2014-2018

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (2018), รองแชมป์โลก (2018), แชมป์สโมสรโลก 4 สมัย,  แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 6 สมัย, แชมป์ลาลีกา 4 สมัย, รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมฟุตบอลโลก (2018), ติดทีม FIFPRO 6 ครั้ง 


กัปตันทีมชาติโครเอเชีย ผู้พาประเทศเล็กๆที่มีประชากรเพียง 4 ล้านคน คว้ารองแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 และยังสถาปนาตัวเองขึ้นรับบัลลงดอร์ในปีนั้น หลังรางวัลนี้ถูกครอบงำด้วย 2 สตาร์แห่งยุคอย่าง ลีโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มานานหลายปี เขาถูกขนานนามว่า "นี่คือนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลของ โครเอเชีย"


โมดริช คือยอดมิดฟิลด์แห่งความคลาสสิคที่ครบเครื่อง เขาเป็นนักเตะคนสำคัญของ เรอัล มาดริด และยังคงโชว์ฟอร์มการเล่นที่อยู่ในระดับสูงได้จนถึงปัจจุบัน แม้จะมีส่วนสูงเพียง 172 ซม. แต่ก็ทดแทนด้วยการผ่านบอลที่แม่นยำ ควบคุมจังหวะของเกม เทคนิคการเลี้ยงบอลขั้นเทพ และวิสัยทัศน์การอ่านเกมที่เฉียบขาด 


นี่คือชายร่างเล็กที่สร้างสิ่งอัศจรรย์ใจในโลกฟุตบอลครั้งแล้วครั้งเล่า



อันดับที่ 34: รุด กุลลิต (Ruud Gullit)



จุดพีค: 1987-1992

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (1987), แชมป์ยูโร (1988), แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัย, แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 2 สมัย, แชมป์เอเรดิวิซี 3 สมัย, แชมป์เซเรียอา 3 สมัย


อดีตกัปตันทีมผู้ที่มีส่วนร่วมสำคัญในการพา "ทัพอัศวินสีส้ม" คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป เมื่อปี 1988 ซึ่งนั่นคือแชมป์ระดับเมเจอร์เพียงครั้งเดียวของ เนเธอร์แลนด์ หลายคนจำเขาได้จากแฟชั่นส่วนตัวสุด Unique ด้วยการไว้ผมทรง "งูเก็งกอง"


กุลลิต เป็นนักฟุตบอลที่มีบุคลิกความเป็นผู้นำสูง ประกอบกับลีลาในสนามอันโดดเด่น ความสามารถเฉพาะตัวที่เล่นได้หลากหลายตำแหน่ง ทำให้เขาปรับตัวเข้ากับปรัชญาโททัลฟุตบอลได้เป็นอย่างดีในยุคสมัยนั้น และเมื่อได้ย้ายตัวเองข้ามฝากมายังเกาะอังกฤษ เขายังเป็นทั้งผู้เล่นและผู้จัดการทีมของสโมสรเชลซี โดยสามารถพา "ทีมสิงโตน้ำเงินคราม" คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จเชื่อเหลือเกินว่านี่คืออีกหนึ่งตำนานของวงการฟุตบอลดัตช์ที่จะถูกเล่าขานอย่างไม่จบไม่สิ้นแน่นอน


อันดับที่ 33: เควิน คีแกน (Kevin Keegan)



จุดพีค: 1972-1979

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (1978, 1979), แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ 1 สมัย, แชมป์ยูฟ่า คัพ 2 สมัย, แชมป์บริติช โฮม แชมเปี้ยนชิพ 4 สมัย, แชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง 3 สมัย, แชมป์บุนเดลีกา 1 สมัย, ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี 4 สมัย


ตำนkนกองหน้าแห่งประวัติศาสตร์คนหนึ่งของสโมสรลิเวอร์พูล นี่คือชายที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบรรดานักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่อังกฤษเคยมีมา ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดัน รวดเร็ว ชั้นเชิงที่แพรวพราว รวมไปถึงการถล่มประตูเป็นกอบเป็นกำ ทำให้ชื่อเสียงของเขาเป็นที่กล่าวขานไปทั่วทั้งโลก


เป็นเวลายาวนานถึง 12 ปีที่นักเตะอังกฤษไม่ได้ลิ้มรสรางวัลบัลลงดอร์ จนกระทั่ง เควิน คีแกน ลบมนตราต้องคำสาปได้สำเร็จในปี 1978 กับสโมสรฮัมบูร์ก ซึ่งต้องบอกว่าผลงานของเขานั้นการันตีความยอดเยี่ยมมาตั้งแต่สมัยที่ค้าแข้งอยู่กับ ‘เครื่องจักรสีแดง’ สโมสรที่เขาพาทีมเถลิงแชมป์ยุโรป เป็นหนแรกในประวัติศาสตร์ของเมืองเมอร์ซี่ย์ไซด์


ศูนย์หน้ารายนี้มีส่วนสำคัญอย่างมากในการพา "ทัพสิงห์เหนือ" คว้าแชมป์บุนเดสลีกาเมื่อฤดูกาล 1978-1979 และมันเพียงพอที่จะทำให้เขาเถลิงบัลลงดอร์ถึง 2 สมัยติดต่อกัน พร้อมสร้างสถิติเป็นนักเตะแดนผู้ดีรายแรกที่คว้ารางวัลนี้ 2 สมัยซ้อน


อันดับที่ 32: โรแบร์โต้ บาจโจ้ (Roberto Baggio)


จุดพีค: 1990-1996

ความสำเร็จโดดเด่น: บัลลงดอร์ (1993), รองแชมป์โลก (1994), แชมป์ยูฟ่า คัพ 1 สมัย, แชมป์เซเรียอา 2 สมัย, นักเตะชายยอดเยี่ยมแห่งปี (1993)


อดีตกองหน้า "ผมเปีย" ทีมชาติอิตาลี ที่เจิดจรัสที่สุดคนหนึ่งในช่วงปลายยุค 1990 เขาเป็นนักเตะไม่กี่คนบนโลกที่เคยค้าแข้งกับ 3 สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกกัลโช่ เซเรียอา อย่างครบถ้วน ไล่ตั้งแต่ ยูเวนตุส, เอซี มิลาน และ อินเตอร์ มิลาน


นี่คือผู้เล่นแนวรุกที่สมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล เขาคว้าบัลลงดอร์ในปี 1993 และสามารถพาทีมชาติอิตาลีเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1994 โดยเอาทุกแมตซ์ของทั้งทัวร์นาเมนต์มาเป็นเวทีโชว์ของตัวเอง ถึงแม้ในท้ายที่สุดจะตกเป็นจำเลยกับการพลาดลูกจุดโทษในตำนาน จนชวดแชมป์ไปเลยก็ตาม


บาจโจ้ ยิงไปทั้งหมด 39 ประตู ในรอบ 1 ปฏิทิน และมันช่วยให้เขาได้รับคะแนนโหวตจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ทั้งหมด 142 คะแนน จาก 150 คะแนนเต็ม สถาปนาตนเองขึ้นเป็น นักเตะยอดเยี่ยมที่สุดของยุโรป, นักเตะชายยอดเยี่ยมแห่งปี และคว้าบัลลงดอร์ ของ France Football ในปีนั้น


อันดับที่ 31: อันเดรส อิเนียสต้า (Andrés Iniesta)



จุดพีค: 2009-2018

ความสำเร็จโดดเด่น: แชมป์โลก (2010), แชมป์ยูโร (2008, 2012), แชมป์สโมสรโลก 3 สมัย, แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 4 สมัย, แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 3 สมัย, แชมป์ลาลีกา 9 สมัย, ติดทีม FIFPRO 9 ครั้ง, บัลลงดอร์ ดรีมทีม (Bronze) 


ถ้าจะให้ยกตัวอย่างมิดฟิลด์สายชั้นเชิงในรอบกว่าทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อของ อันเดรส อิเนียสต้า ย่อมปรากฎขึ้นมาแบบยากที่จะปฏิเสธได้ เพราะนี่คือสุดยอดกองกลางของ "ทีมเจ้าบุญทุ่ม" ในยุคที่ Tiki-taka ครองโลก


อิเนียสต้า คือผู้เล่นที่มีเบสิกฟุตบอลในระดับตกผลึก เป็นตัวเเปรสำคัญต่อผลเเพ้ชนะของทีม มีทักษะการเป็นจอมทัพ มีสกิลการเอาตัวรอดในพื้นที่เเคบ ๆ และผ่านบอลได้อย่างเฉียบคม ทุกการสัมผัสบอลของเขาล้วนมีความหมายทั้งสิ้น หากจะเปรียบกับสุภาษิตของไทย เขาคงเป็นระดับ “ห้องเครื่องที่ปิดทองหลังยอดเขาเอเวอเรสต์”


เขียนโดย The Lite Team

LS Sport ข่าวกีฬาคนรุ่นใหม่ 24 ชั่วโมง




ติดตามข่าวสารฟุตบอลต่างประเทศและคอลัมน์ฟุตบอล ข้อมูลเที่ยงตรง เข้าถึงข้อมูลร้อนเร็วทันเหตุการณ์จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ รายละเอียดเกี่ยวกับเกม ผลการแข่งขัน, สถิติของทีม, ข่าวเกี่ยวกับนักเตะและทีมรัก, ทรรศนะ และบทวิเคราะห์, และข้อมูลอื่น ๆ จากทีมชั้นนำจากทั่วโลก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์, เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค, ปารีส แซงต์ แชร์กแมง, อินเตอร์ มิลาน, เอซี มิลาน, ยูเวนตุส และอื่นๆ อีกมากมาย ข่าวสารบอล ต้องเว็บไซค์ของคนบ้าบอล ข่าวสดยุคใหม่ 24 ชั่วโมง ต้อง lockscore.com เท่านั่น

icon
icon

0'

Aston Villa

1

icon

Leeds United

2

icon LIVE NOW